การพัฒนางาน
หลักการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ
งานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ทุกคนทำงานก็เพื่อปราถนาเพื่อจะให้งานของตนเองก้าวหน้า
มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อองค์การ ต่อสังคม และครอบครัวโดยส่วนรวม
งานในที่นี้ย่อมหมายถึงงานในรูปของสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน
เช่น งานอุตสาหกรรมในครอบครัว ที่ผลิตออกมาในรูปของสินค้า OTOP งานในองค์การรือบริษัท ทั้งนี้งานแต่ละประเภทที่จำเป็นต้องมีปัจจัยต่างๆ
เช่น กลยุทธ์และเทคนิคในการทำงาน
การสร้างแรงจูงใจในการทำงานและการมีทีมการและการทำงานเป็นทีมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการพัฒนางาน
ให้มีประสิทธิภาพ
โดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดและผลปลิตหรือบริการนั้นต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ
กลยุทธ์และเทคนิคในการทำงาน
การพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพนั้น
กลยุทธ์และเทคนิครวมทั้งวิธีการทางเทคโนโลยี ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่ง
ที่จะช่วยผลักดันองค์การ บุคลากร
และงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้โดยใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
ไม่ว่าจะเป็นทรพยากร ระยะเวลา แรงงาน และวัสดุต่างๆ
ที่นำมาใช้ในการทำงานจนเกิดสัมฤทธิผล
ความหมายของกลบุทธ์และเทคนิคกลยุทธ์และเทคนิค
กลยุทธ์ คือ การกำหนดวิสัยทัศน์
การกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่แน่ชัด มีการวิเคราะห์อนาคตและคิดเชิงการแข่งขัน
ระบบการทำงานที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงสำหรับการทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีระบบการทำงานที่คล่องตัว
มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต
สามารถเผชิญกัยการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อความอยู่รอด และความก้าวหน้า
ขององค์การของหน่วบยงานหรือของธุรกิจเอกชนในอนาคต
เทคนิค
คือ ศิลปะหรือกลวิธีเฉพาะวิชานั้นๆ
การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว
อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น
เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ
ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก
เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป เช่น
อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล
หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง หรือบางครั้งบางคราวก็อาจเป็นแรงจูงใจไร้สำนึก คือ
เกิดจากการเก็บกด ซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว
จะเห็นได้ว่าการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในคนเรานั้นไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเพราะพฤติกรรมของมนุษย์มีความซับซ้อน
แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมต่างกัน
แรงจูงใจต่างกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเหมือนกัน พฤติกรรมอย่างหนึ่งอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายอย่าง
และในบุคคลต่างสังคมก็มักมีแรงจูงใจ
การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน
ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการบริหารงาน
ให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด ที่ทำให้บุคลากรหรือพนักงาน มีกำลัง
เต็มใจและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้นคือ
การจูงใจ ทั้งนี้ถ้าบุคคล บุคลากร หรือพนักงาน
ได้รับการจูงใจแล้วจะส่งผลให้เต็มใจที่จะมุ่งมั่น สละเวลา
กำลังที่จะผลักดันหรือผลปลิตออกมาดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว
อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น
เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ
ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก
เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป เช่น
อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล
หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง หรือบางครั้งบางคราวก็อาจเป็นแรงจูงใจไร้สำนึก คือ
เกิดจากการเก็บกด ซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว
จะเห็นได้ว่าการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในคนเรานั้นไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเพราะพฤติกรรมของมนุษย์มีความซับซ้อน
แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมต่างกัน
แรงจูงใจต่างกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเหมือนกัน
พฤติกรรมอย่างหนึ่งอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายอย่าง
และในบุคคลต่างสังคมก็มักมีแรงจูงใจ
ความต้องการ (need) เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุล
เกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง เช่น
คนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจะแสดงพฤติกรรมด้วยการนอน หรือนั่งพัก
หรือเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนอิริยาบถ ดูหนังฟังเพลง ฯลฯ คนที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
จะมีความต้องการความรักความสนใจจากผู้อื่น เป็นแรงผลักดันให้คน ๆ นั้น
กระทำการบางอย่างเพื่อให้ได้รับความรักความสนใจ เช่น ส่งเสียงดังร้องไห้ ฯลฯ
ความต้องการมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรม
กล่าวได้ว่าสิ่งที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการนั้น
ส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากความต้องการของบุคคล ความต้องการในคนเรามีหลายประเภท
นักจิตวิทยาได้อธิบายเรื่องความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และได้จำแนกเป็น 2 ประเภท
ดังนี้
-
ความต้องการทางกาย (physical
needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกาย เช่น
ต้องการกินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย การเคลื่อนไหว พักผ่อน และต้องการทางเพศ
ความต้องการทางกายทำให้เกิดแรงจูงใจให้บุคคลกระทำการเพื่อสนองความต้องการดังกล่าว
เรียกแรงจูงใจที่เกิดจากนี้ว่าแรงจูงใจทางชีวภาพ หรือทางสรีระ (biological
motives)
-
ความต้องการทางสังคมหรือความต้องการทางจิตใจ (social or psychological needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ต้องการความรัก
ความมั่นคง ความปลอดภัย การเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องการอิสรภาพ ความสำเร็จในชีวิต
และตำแหน่งทางสังคม ความต้องการทางสังคมหรือทางจิตใจดังกล่าวนี้
เป็นเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการดังกล่าวคือ
ทำให้เกิดแรงจูงใจที่เรียกว่า แรงจูงใจทางสังคม (social motives)
สิ่งล่อใจ (incentives)เป็นสิ่งชักนำบุคคลให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้จัดเป็นแรงจูงใจภายนอก เช่น การชักจูงให้คนงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ
โดยยกย่องพนักงานที่ไม่ขาดงานให้เป็นที่ปรากฏ การประกาศเกียรติคุณ
หรือการจัดสรรรางวัลในการคัดเลือกพนักงานหรือบุคคลดีเด่นประจำปี การจัดทำเนียบ
"Top Ten" หรือสิบสาขาดีเด่นขององค์การ
การมอบโล่รางวัลแก่ฝ่ายงานที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปี ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้
จัดเป็นการใช้สิ่งล่อใจมาสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้เกิดแก่พนักงานขององค์การทั้งสิ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งล่อใจนั้น อาจเป็นวัตถุ เป็นสัญลักษณ์
หรือเป็นคำพูดที่ทำให้บุคคลพึงพอใจ
การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม
สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมที่จะเคลื่อนไหว
นักกีฬาที่อุ่นเครื่องเสร็จพร้อมที่จะแข่งขันหรือเล่นกีฬา
พนักงานต้อนรับที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ฯลฯ
ลักษณะดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องพร้อมจะทำงาน บุคลากรในองค์การถ้ามีการตื่นตัวในการทำงาน
ย่อมส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาธรรมชาติ
พฤติกรรมของมนุษย์พบว่า การตื่นตัวมี 3 ระดับ คือ การตื่นตัวระดับสูง
การตื่นตัวระดับกลาง และการตื่นตัวระดับต่ำ ระดับที่นักจิตวิทยาค้นพบว่าดีที่สุด
ได้แก่ การตื่นตัวระดับกลาง
ถ้าเป็นการตื่นตัวระดับสูงจะตื่นตัวมากไปจนกลายเป็นตื่นตกใจ หรือตื่นเต้น
ขาดสมาธิในการทำงาน ถ้าตื่นตัวระดับต่ำก็มักทำงานเฉื่อยชา ผลงานเสร็จช้า
และจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้บุคคลตื่นตัว
มีทั้งสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัว ได้แก่ ลักษณะส่วนตัวของบุคคลแต่ละคนที่มีต่าง
ๆ กัน ทั้งในส่วนที่เป็นบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัยและระบบสรีระภายในของผู้นั้น
การคาดหวัง (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนาหรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตัวอย่างเช่น
การที่คนงานคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5
เท่าของเงินเดือนการคาดหวังดังกล่าวนี้ ส่งผลให้พนักงานดังกล่าวกระปรี้กระเปร่า
มีชีวิตชีวา ซึ่งบางคนอาจจะสมหวังและมีอีกหลายคนที่ผิดหวัง
ในชีวิตจริงของคนเราโดยทั่วไป สิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นมักไม่ตรงกันเสมอไป
ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าห่างกันมากก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และเกิดปัญหาขัดแย้งอื่น ๆ ตามมา
เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงานจึงควรระมัดระวังในเรื่องดังกล่าว
ที่จะต้องมีการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในกันและกัน การสร้างความหวังหรือการปล่อยให้พนักงานคาดหวังลม
ๆ แล้ง ๆ โดยที่สภาพความเป็นจริงทำไม่ได้
อาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึงในเวลาต่อไป
ดังตัวอย่างที่เห็นได้จากการที่กลุ่มคนงานของบริษัทใหญ่บางแห่งรวมตัวกันต่อต้านผู้บริหารและเผาโรงงาน
เนื่องมาจากไม่พอใจที่ไม่ได้โบนัสประจำปีตามที่คาดหวังไว้ว่าควรจะได้
ทีมงานและการทำงานเป็นทีม
คนต้องการมีสังคม
และอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มคนจึงต้องสังกัดอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในด้านการทำงานถ้าสามาถทำงานเป็นกลุ่มได้
ทำให้องค์การมีประสิทธิภาพอันนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตในการทำงาน ความสำเร็จขอององค์การ
ย่อมต้องประกอบด้วยทีมงานต่างๆหลายประเภท
และหลายลักษณะซึ่งเป็นทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
อันนำไปสู่ความสำเร็จและการบรรลุผลตามเป้าหมายขององค์การ
ความหมายของทีมงาน
ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและ
คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน
โดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงาน
ความหมายของการทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม
เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
โดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่
มีวัตถุประสงค์
(Purpose)
ต้องชัดเจน
มีการจัดลำดับความสำคัญ
(Priority)
ในการทำงาน
มีผลการทำงาน
(Performance)
ความสำคัญของการสร้างทีมงาน
ในแง่ของการทำงานเป็นทีม
คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็การปฏิบัติงานต่างก็ได้รับความพอใจในผลงานนั้น
ๆ ประโยชน์มีมากมายยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่นการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลวอลเลย์บอล
หรือตะกร้อที่จะต้องทำงานประสานกันเป็นทีม
ถ้าไม่มีการวางแผนหรือมีการที่จะทำให้การประสานการเป็นทีม
ชัยชนะก็จะไม่เกิดยกตัวอย่างอย่างเล่นฟุตบอลง่าย ๆ
ฉะนั้นประโยชน์ของการทำงานเป็นทีมสมาชิกในทีมจะต้องได้มีการพัฒนาเต็มความสามารถของตน
ได้รับเปลี่ยนความรู้ ทักษะ
ประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทีมทำให้เกิดการเรียนรู้การรับฟังความคิดเห็นและการสื่อสารกัน
ประโยชน์ของการทำงานเป็นทีม
-
ช่วยให้การทำงานเป็นระบบที่ดี
มีการแล่งงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบทำให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่กลุ่มและทีมงานรับผิดชอบ
-
ช่วยให้มีการนำหลักมนุษย์สัมพันธ์มาใช้ในกลุ่มและทีมงาน เช่น
การรู้เรา รู้เขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา งานของกลุ่มและทีมงานจะดำเนินไปด้วยดี
-
ช่วยให้เกิดรู้รักสามัคคีระหว่างสมาชิกของกลุ่มและทีมงาน
ในการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
-
ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานกลุ่มและทีมงาน ตามมาตรฐานการทำงาน
โดยอาศัยกลุ่มหรือสภาพแรงงานเป็นตัวแทนให้แก่พนักงาน
-
ช่วยให้เกิดความมั่นคงในอาชีพเนื่องจากการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีมงาน
จะก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นของมวลสมาชิกในกลุ่มหรือทีมงาน
อันจะก่อให้เกิดความเกรงใจของคณะผู้บริหารที่มีต่อกลุ่มหรือทีมงาน
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.youtube.com/watch?v=pxbgh6_L8nE
สืบค้นวันที่ 20 ธันวาคม 2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น