วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การวางแผน

การวางแผน   (Planning)


การวางแผน   หมายถึง  กระบวนการกำหนดวัตถุประสงค์สำหรับการทำงานในอนาคตพร้อมทั้งกำหนดแนวทางการกระทำในทางปฏิบัติจริงเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดแผน
1. อนาคต  เป็นการกำหนดวิธีการที่จะปฏิบัติในอนาคต
2. การปฏิบัติ  ระบุวิธีปฏิบัติ
3. บุคคลหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ  เป็นการกำหนดตัวบุคคล
4. การแก้ปัญหาขัดแย้ง  ต้องมีการกำหนดวิธีแก้ปัญหาเอาไว้
5. มาตรฐาน  กำหนดมาตรฐานหรือเป้าหมายที่ต้องการ
6. ความประหยัด  ต้องคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด  
ประโยชน์ของการวางแผน
1. การวางแผนทำให้ทุกคนทุกฝ่ายทราบทิศทางขององค์การ
2. การวางแผนเป็นการกำหนดเป้าหมาย
3. การวางแผนช่วยให้เกิดการประสานของแต่ละบุคคลแต่ละฝ่าย
4. การวางแผนเอื้ออำนวยให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ
5. การวางแผนมีผลต่อประสิทธิภาพของนักการบริหารโดยตรง
6. การวางแผนช่วยให้การทำงานของทุกฝ่ายเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ 
ความสำคัญของการบริหาร
1. ช่วยให้สามารถระบุเป้าหมายผลสำเร็จอย่างชัดเจน
2. ช่วยให้การกำหนดและระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ
3. ช่วยให้กิจการมีนโยบายที่ชัดเจน
4. ช่วยให้มีการคาดคะเนปัญหาล่วงหน้า
5. ช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้วิธีการควบคุมที่คล่องตัวและเหมาะสม     
ปรัชญาของการวางแผน Russell  L.  Ackoff
ได้แบ่งปรัชญาการวางแผนออกเป็น  3  แบบ              
1. ทำเท่าที่พอใจ  (Satisficing)  นิยมใช้มาก               
2. ทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด  (Optimizing)               
3. ดัดแปลงทำให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม  (Adaptivizing)  หรือแบบนวัตกรรม  เป็นแบบที่ใช้น้อยที่สุด               
แผน  (Plan)
เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจาการวางแผน
1. ต้องทำอะไร  (What)   
2. ทำไปทำไม  (Why)                       
3. ทำเมื่อไร  (When)                       
4. ใครทำ  (Who)                               
5. ทำอย่างไร  (How)
ประเภทของแผน
          แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. แผนที่แบ่งตามระยะเวลาและวัตถุประสงค์ของแผน  มี 3 ประเภท                
1.1 แผนระยะสั้น   ตั้งแต่ 1 เดือน  แต่ไม่เกิน 1 ปี               
1.2 แผนระยะกลาง   ช่วง 1 ปี  แต่ไม่เกิน 5 ปี               
1.3 แผนระยะยาว   ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปมีความคาดหวังผลสำเร็จสูง แต่จะมีผลสำเร็จต่ำกว่าระยะอื่น  มักเรียกว่าแผรกลยุทธ์
2. แผนที่แบ่งตามระดับของผู้บริหาร  มี 3 ประเภท               
2.1 แผนกลยุทธ์หรือแผนนโยบาย  จัดเป็นแผนระยะยาวเป็นของผู้บริหารระดับสูง                2.2 แผนยุทธวิธี  หรือแผนปฏิบัติการ  เป็นหน้าที่ในการจัดทำของผู้บริหารระดับกลาง  เป็นแผนการกระจายและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่               
2.3 แผนดำเนินงาน  เป็นการวางแผนการทำงานประจำวัน  ประจำสัปดาห์  ประจำเดือน  และประจำปีของผู้บริหารระดับต้น
3. แผนแบ่งตามความถี่ของการใช้แผน  มี 2 ประเภท               
3.1 แผนถาวร  หรือแผนใช้ประจำ  เป็นแผนที่เพื่อใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ                3.2 แผนชั่วคราว  หรือแผนใช้ครั้งเดียว   เหมาะที่จะใช้กับงานโครงการที่มีระยะเริ่มต้นและสิ้นสุดในระยะเวลาสั้น
4. แผนที่แบ่งตามลักษณะกิจกรรมแต่ละด้านในองค์การ  คือแผนของแต่ละฝ่ายงานในองค์การ
5. แผนที่แบ่งตามวิธีการกำหนดแผน  มี 2 ประเภท                
5.1 แผนที่กำหนดจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง  เกิดจากผู้บริหารระดับสูงกำหนดกลยุทธ์แล้วส่งต่อให้ผุ้บริหารระดับกลาง  และต้นดูแล               
5.2 แผนที่กำหนดจากเบื้องล่างขึ้นไปเบื้องบน  เกิดจากหน่วยงานระดับล่างวางแผนสง่ไปยังผู้บริหารระดับกลาง  ขึ้นไปสู่ผู้บริหารระดับสูงพิจารณา      
กระบวนการวางแผน  ( Planning  process)
สิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผน               
1. วัตถุประสงค์  (Objective)  เป้าหมายในการทำงาน               
2. การคาดการณ์  (Forecase)  ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เพื่อจะได้เตรียมทางออกที่ดีไว้ล่วงหน้า              
3. กิจกรรม  (Activity)  การปฏิบัติงาน               
4. เวลา  (Time)  ระยะเวลาของกิจกรรม               
5. แผนการใช้เงิน  (Budget)  การประมาณการค่าใช้จ่าย               
6. คณะทำงาน  (Organization)  การระบุผู้รับผิดชอบ  กำหนดตำแหน่งหน้าที่  ลักษณะงานที่ต้องรับผิดชอบ               
7. แนวนโยบาย  (Policy)  เป็นหลักให้ทุกคนทุกฝ่ายถือปฏิบัติ              
8. มาตรฐานผลงาน  (Standard)  ระดับผลงานที่ถูกคาดหวังว่าต้องการระดับใด  จึงจะถือว่าประสบผลสำเร็จ
ขั้นตอนในการวางแผน
ขั้นที่ 1 รวบรวมข้อมูล  สภาพปัญหา               
ขั้นที่ 2 ระบุปัญหา  ความต้องการ              
ขั้นที่ 3 กำหนดวัตถุประสงค์  เป้าหมาย               
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ทางเลือก  เพื่อกำหนดวิธีดำเนินการ              
ขั้นที่ 5 จัดทำแผนงานประเภทต่างๆ             
ขั้นที่ 6 นำแผนไปปฏิบัติ      
ข้อจำกัดและอุปสรรคของการวางแผน
1. ผู้วางแผนขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดประสบการณ์
2. ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม  สถานการณ์  สภาพเศรษฐกิจ
3. ปัญหาด้านเทคนิค
4. ปัญหาการนำแผนไปปฏิบัติ
การวางแผนกับการนำแผนไปปฏิบัติ
การวางแผน  คือ  การมุ่งไปสู่อนาคตที่คาดหวังคือการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นการนำแผนไปปฏิบัติ  คือ  การบริหารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่คาดหวังด้วยกลวิธีที่กำหนดขึ้น 
การวางแผน(planning)
          เป็นกระบวนการการกำหนดเป้าหมาย (Goals)ขององค์กร และวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ รวมทั้งแนวทางในการประสานกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน ทำให้การดำเนินงานด้านต่างๆ ขององค์การเป็นไปอย่างราบรื่น และเข้าถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปสาเหตุสำคัญที่องค์การต้องวงแผนมี 4 ประเภท
          1.การวางแผนช่วยในการกำหนดทิศทางขององค์การ
          2.การวางแผนช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง
          3.การวางแผนช่วยให้ลดความสูญเสียและความซ้ำซ้อนในการทำงาน
          4.การวางแผนช่วยในการกำหนดมาตรฐานสำหรับการประเมินและควบคุม
ประโยชน์การวางแผน
          แผนทุกประเภทจะช่วยกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินงานซึ่งอาจจะแตกต่างตามลักษณะของธุรกิจ แต่จะมีความสำคัญคือจะสร้างต้องอาศัยการร่วมมือกันของสมาชิกเพื่อบรรลุเป้าหมาย
ความสำคัญของการวางแผน
          เราจะเห็นว่ากระบวนการและหน้าที่ทางการจัดการ เช่น การจัดองค์การ การจัดบุคคลเข้าทำงาน การนำ และการควบคุม ต่างดำเนินการเพื่อสนับสนุนองค์การให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามแผนกงาน ซึ่งหน้าที่แรกของการจัดการอยู่ในรูปของการวางแผน โดยที่การวางแผนช่วยให้กระบวนการจัดการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และช่วยกำหนดวัตถุประสงค์ที่สำคัญสำหรับทุกกลุ่ม
          การวางแผนในการที่บรรลุวัตถุประสงค์ใดๆในการทำงานนั้น ผู้รับผิดชอบจะต้องทราบวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้รับจากการทำงานเป็นการล่วงหน้าก่อน แล้วจึงคิดวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ตัวอย่าง เช่น พนักงานขายผู้หนึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะขายสินค้าให้ลูกค้ารายหนึ่งจึงได้หาข้อมูลว่าลูกค้ารายนั้นชอบอะไรมีเวลาว่างช่วงไหน แล้วจึงกำหนดขั้นตอนในการเข้าพบลูกค้ารายนั้นและกำหนดวิธีการที่จะนำเสนอขายสินค้าว่าต้องพูดตามลำดับอย่างไรนับเป็นการวางแผนที่เราเห็นได้ทั่วไปในการปฏิบัติงาน
ทฤษฎีกระบวนการวางแผน
          1.กำหนดวิสัยทัศน์ (vision) ภารกิจ (mission) และเป้าหมาย (goals) ขององค์การจัดการโดยภารกิจที่กำหนดขึ้นจะเป็นพื้นฐานทีองค์การถือกำเนิดขึ้นมาและขอบเขตที่องค์การจะดำเนินการ เช่น กิจการที่จำหน่ายสินค้าอุปโภค
          2.วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกเนื่องจากการดำเนินงานขององค์การกับสถานการณ์ภายนอกมีผลโดยตรงซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นองค์การธุรกิจขนาดใหญ่ยิ่งเห็นผลมาก เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องผู้บริโภคจำนวนมากมารองรับสินค้าและบริการทีนำเสนอขาย
3.การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ หมายถึง การพิจารณาศักยภาพขององค์การในการดำเนินธุรกิจสู้กับคู่แข่งรายอื่นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในเพื่อจะทราบว่าตนได้เปรียบคู่แข่งคันในเรื่องใดและเสียเปรียบคู่แข่งขันในเรื่องใด
4.การกำหนดแผนกลยุทธ์ของบริษัทจากปัจจัยสภาพแวดล้อมเป็นการนำปัจจัยทางด้านสภาพแวดล้อมภายนอกซึ่งได้แก่โอกาสและอุปสรรคและสภาพแวดล้อมภายในได้แก่จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การมากำหนดแผนกลยุทธ์ระดับบริษัท
ประโยชน์การมีแผนงาน
1.ทำให้ทราบปัจจัยที่เกี่ยวข้องและอาจส่งผลกระทบทั้งในด้านดีและด้านเสียทำให้ผู้วางแผนสามารถวิเคราะห์สิ่งที่จะทำเกิดขึ้นได้ดี
2.ทำให้ทราบสิ่งที่คาดว่าจะได้รับหลังจากแผนการเสร็จสิ้นลง ในการวางแผนจะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ต้องการ

3.ทำให้ทราบวิธีปฏิบัติและทรัพยากรที่ต้องใช้ล่วงหน้า
ลักษณะของการวางแผน (Nature of planning)
การสำรวจลักษณะสำคัญของการวางแผนประกอบด้วย 4 ด้าน (1) ประโยชน์ของการวางแผนในการกำหนดจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ (2)ลักษณะเด่นของการวางแผน (3)ความหลากหลายของการวางแผน (4)ประสิทธิภาพของแผน
รูปแบบของแผน ( Types of plan) จะแตกต่างกัน
                   1.จุดมุ่งหมายหรือภารกิจ (Purposes or missions)
                   2.วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย(Objectives or goals)
                   3.กลยุทธ์.(Strategies)
                   4.นโยบาย(Policies)
                   5.กระบวนการ (Proscedures)
                   6.กฎ (Rules)
                   7. โปรแกรม (Programs)
                   8.งบประมาณ(Budgets)

ระดับของการวางแผน (Level of planning)
          1.แผนกลยุทธ์ (Strategic plans) เป็นวิธีการที่ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายกลยุทธ์กำหนดโดยผู้บริหารระดับสูงแผนกลยุทธ์จะครอบคลุมการจัดการจัดสรรทรัพยากรและกำหนดขอบเขต ย่างกว้างของกิจกรรมองค์การในระยะยาวที่ออกแบบเพื่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
          2.แผนยุทธวิธี (Tactical plans) เป็นวิธีการที่ใช้เพื่อใช้บรรลุเป้าหมายยุทธ์วิธีแผนนี้เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางที่จะกำหนดแผนร่วมกัน แผนยุทธวิธีจะมีระยะเวลาที่สั้นกว่าแผนกลยุทธ์ และให้การสนับสนุนการปฏิบัติการของแผนกลยุทธ์ แผนยุทธวิธีประกอบด้วยการปฏิบัติการเฉพาะในแต่ละฝ่ายของธุรกิจหริอกลุ่มดังนั้น จึงมีขอบเขตที่แคบกว่าแผนกลยุทธ์

3.แผนการปฏิบัติการ (Operational plans) เป็นวิธีการที่ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปฏิบัติการแผนนี้จะสนับสนุนแผนยุทธวิธีโดยกำหนดการปฏิบัติการในแต่ละฝ่ายหรือแผนกหน้าที่ต่างๆแผนนี้จะครอบครองคลุมระยะเวลาที่สั่นกว่าแผนยุทธวิธี โดยรวมถึงการปฏิบัติการในแต่ละวันขององค์การ

ขอบขอบคุณ https://www.gotoknow.org/posts/126544
                https://strategic201.wordpress.com/2016/09/21/planning-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99/comment-page-1/

สืบค้นวันที่ 27 ธันวาคม 2560

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การพัฒนางาน

การพัฒนางาน


หลักการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ
งานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทุกคนทำงานก็เพื่อปราถนาเพื่อจะให้งานของตนเองก้าวหน้า มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อองค์การ ต่อสังคม และครอบครัวโดยส่วนรวม งานในที่นี้ย่อมหมายถึงงานในรูปของสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน เช่น งานอุตสาหกรรมในครอบครัว ที่ผลิตออกมาในรูปของสินค้า OTOP งานในองค์การรือบริษัท ทั้งนี้งานแต่ละประเภทที่จำเป็นต้องมีปัจจัยต่างๆ เช่น กลยุทธ์และเทคนิคในการทำงาน การสร้างแรงจูงใจในการทำงานและการมีทีมการและการทำงานเป็นทีมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการพัฒนางาน ให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดและผลปลิตหรือบริการนั้นต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ
กลยุทธ์และเทคนิคในการทำงาน


การพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพนั้น กลยุทธ์และเทคนิครวมทั้งวิธีการทางเทคโนโลยี ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่ง ที่จะช่วยผลักดันองค์การ บุคลากร และงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้โดยใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ไม่ว่าจะเป็นทรพยากร ระยะเวลา แรงงาน และวัสดุต่างๆ ที่นำมาใช้ในการทำงานจนเกิดสัมฤทธิผล
ความหมายของกลบุทธ์และเทคนิคกลยุทธ์และเทคนิค
กลยุทธ์ คือ การกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่แน่ชัด มีการวิเคราะห์อนาคตและคิดเชิงการแข่งขัน ระบบการทำงานที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงสำหรับการทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีระบบการทำงานที่คล่องตัว มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต สามารถเผชิญกัยการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อความอยู่รอด และความก้าวหน้า ขององค์การของหน่วบยงานหรือของธุรกิจเอกชนในอนาคต
เทคนิค คือ ศิลปะหรือกลวิธีเฉพาะวิชานั้นๆ
การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป เช่น อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง หรือบางครั้งบางคราวก็อาจเป็นแรงจูงใจไร้สำนึก คือ เกิดจากการเก็บกด ซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่าการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในคนเรานั้นไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเพราะพฤติกรรมของมนุษย์มีความซับซ้อน แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมต่างกัน แรงจูงใจต่างกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเหมือนกัน พฤติกรรมอย่างหนึ่งอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายอย่าง และในบุคคลต่างสังคมก็มักมีแรงจูงใจ
การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน


ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการบริหารงาน ให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด ที่ทำให้บุคลากรหรือพนักงาน มีกำลัง เต็มใจและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้นคือ การจูงใจ ทั้งนี้ถ้าบุคคล บุคลากร หรือพนักงาน ได้รับการจูงใจแล้วจะส่งผลให้เต็มใจที่จะมุ่งมั่น สละเวลา กำลังที่จะผลักดันหรือผลปลิตออกมาดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การทำงานหากขาดพลังหรือแรงจูงใจในการทำงานแล้ว อาจมีผลทำให้การทำงานขาดชีวิตชีวาและน่าเบื่อ ดังนั้น เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันของเรามีความสดชื่นและตื่นตัวอยู่เสมอ ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของแรงจูงใจเป็นลำดับแรก เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นต่อไป เช่น อาจจะเนื่องมาจากความต้องการหรือแรงขับ หรือสิ่งเร้าใจหรือภาวะการตื่นตัวในบุคคล หรืออาจจะเนื่องมาจากการคาดหวัง หรือบางครั้งบางคราวก็อาจเป็นแรงจูงใจไร้สำนึก คือ เกิดจากการเก็บกด ซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่าการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในคนเรานั้นไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเพราะพฤติกรรมของมนุษย์มีความซับซ้อน แรงจูงใจอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมต่างกัน แรงจูงใจต่างกันอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเหมือนกัน พฤติกรรมอย่างหนึ่งอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายอย่าง และในบุคคลต่างสังคมก็มักมีแรงจูงใจ
ความต้องการ (need) เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุล เกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง เช่น คนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจะแสดงพฤติกรรมด้วยการนอน หรือนั่งพัก หรือเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนอิริยาบถ ดูหนังฟังเพลง ฯลฯ คนที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว จะมีความต้องการความรักความสนใจจากผู้อื่น เป็นแรงผลักดันให้คน ๆ นั้น กระทำการบางอย่างเพื่อให้ได้รับความรักความสนใจ เช่น ส่งเสียงดังร้องไห้ ฯลฯ ความต้องการมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรม กล่าวได้ว่าสิ่งที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการนั้น ส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากความต้องการของบุคคล ความต้องการในคนเรามีหลายประเภท นักจิตวิทยาได้อธิบายเรื่องความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และได้จำแนกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
 - ความต้องการทางกาย (physical needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกาย เช่น ต้องการกินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย การเคลื่อนไหว พักผ่อน และต้องการทางเพศ ความต้องการทางกายทำให้เกิดแรงจูงใจให้บุคคลกระทำการเพื่อสนองความต้องการดังกล่าว เรียกแรงจูงใจที่เกิดจากนี้ว่าแรงจูงใจทางชีวภาพ หรือทางสรีระ (biological motives)
 - ความต้องการทางสังคมหรือความต้องการทางจิตใจ (social or psychological needs) เป็นความต้องการที่เกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ต้องการความรัก ความมั่นคง ความปลอดภัย การเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องการอิสรภาพ ความสำเร็จในชีวิต และตำแหน่งทางสังคม ความต้องการทางสังคมหรือทางจิตใจดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการดังกล่าวคือ ทำให้เกิดแรงจูงใจที่เรียกว่า แรงจูงใจทางสังคม (social motives)
สิ่งล่อใจ (incentives)เป็นสิ่งชักนำบุคคลให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้จัดเป็นแรงจูงใจภายนอก เช่น การชักจูงให้คนงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยยกย่องพนักงานที่ไม่ขาดงานให้เป็นที่ปรากฏ การประกาศเกียรติคุณ หรือการจัดสรรรางวัลในการคัดเลือกพนักงานหรือบุคคลดีเด่นประจำปี การจัดทำเนียบ "Top Ten" หรือสิบสาขาดีเด่นขององค์การ การมอบโล่รางวัลแก่ฝ่ายงานที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปี ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้ จัดเป็นการใช้สิ่งล่อใจมาสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้เกิดแก่พนักงานขององค์การทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งล่อใจนั้น อาจเป็นวัตถุ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นคำพูดที่ทำให้บุคคลพึงพอใจ
การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมที่จะเคลื่อนไหว นักกีฬาที่อุ่นเครื่องเสร็จพร้อมที่จะแข่งขันหรือเล่นกีฬา พนักงานต้อนรับที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ฯลฯ ลักษณะดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องพร้อมจะทำงาน บุคลากรในองค์การถ้ามีการตื่นตัวในการทำงาน ย่อมส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษย์พบว่า การตื่นตัวมี 3 ระดับ คือ การตื่นตัวระดับสูง การตื่นตัวระดับกลาง และการตื่นตัวระดับต่ำ ระดับที่นักจิตวิทยาค้นพบว่าดีที่สุด ได้แก่ การตื่นตัวระดับกลาง ถ้าเป็นการตื่นตัวระดับสูงจะตื่นตัวมากไปจนกลายเป็นตื่นตกใจ หรือตื่นเต้น ขาดสมาธิในการทำงาน ถ้าตื่นตัวระดับต่ำก็มักทำงานเฉื่อยชา ผลงานเสร็จช้า และจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้บุคคลตื่นตัว มีทั้งสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัว ได้แก่ ลักษณะส่วนตัวของบุคคลแต่ละคนที่มีต่าง ๆ กัน ทั้งในส่วนที่เป็นบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัยและระบบสรีระภายในของผู้นั้น
การคาดหวัง (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนาหรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตัวอย่างเช่น การที่คนงานคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5 เท่าของเงินเดือนการคาดหวังดังกล่าวนี้ ส่งผลให้พนักงานดังกล่าวกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา ซึ่งบางคนอาจจะสมหวังและมีอีกหลายคนที่ผิดหวัง ในชีวิตจริงของคนเราโดยทั่วไป สิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นมักไม่ตรงกันเสมอไป ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถ้าห่างกันมากก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และเกิดปัญหาขัดแย้งอื่น ๆ ตามมา เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงานจึงควรระมัดระวังในเรื่องดังกล่าว ที่จะต้องมีการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในกันและกัน การสร้างความหวังหรือการปล่อยให้พนักงานคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ โดยที่สภาพความเป็นจริงทำไม่ได้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึงในเวลาต่อไป ดังตัวอย่างที่เห็นได้จากการที่กลุ่มคนงานของบริษัทใหญ่บางแห่งรวมตัวกันต่อต้านผู้บริหารและเผาโรงงาน เนื่องมาจากไม่พอใจที่ไม่ได้โบนัสประจำปีตามที่คาดหวังไว้ว่าควรจะได้
ทีมงานและการทำงานเป็นทีม


 คนต้องการมีสังคม และอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มคนจึงต้องสังกัดอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในด้านการทำงานถ้าสามาถทำงานเป็นกลุ่มได้ ทำให้องค์การมีประสิทธิภาพอันนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตในการทำงาน ความสำเร็จขอององค์การ ย่อมต้องประกอบด้วยทีมงานต่างๆหลายประเภท และหลายลักษณะซึ่งเป็นทีมงานที่มีประสิทธิภาพ อันนำไปสู่ความสำเร็จและการบรรลุผลตามเป้าหมายขององค์การ
ความหมายของทีมงาน
ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและ
คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน
โดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงาน
ความหมายของการทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
โดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่
มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน
มีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงาน
มีผลการทำงาน (Performance)
ความสำคัญของการสร้างทีมงาน
ในแง่ของการทำงานเป็นทีม คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็การปฏิบัติงานต่างก็ได้รับความพอใจในผลงานนั้น ๆ ประโยชน์มีมากมายยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่นการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลวอลเลย์บอล หรือตะกร้อที่จะต้องทำงานประสานกันเป็นทีม
ถ้าไม่มีการวางแผนหรือมีการที่จะทำให้การประสานการเป็นทีม ชัยชนะก็จะไม่เกิดยกตัวอย่างอย่างเล่นฟุตบอลง่าย ๆ ฉะนั้นประโยชน์ของการทำงานเป็นทีมสมาชิกในทีมจะต้องได้มีการพัฒนาเต็มความสามารถของตน ได้รับเปลี่ยนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์กับเพื่อนร่วมทีมทำให้เกิดการเรียนรู้การรับฟังความคิดเห็นและการสื่อสารกัน
ประโยชน์ของการทำงานเป็นทีม
- ช่วยให้การทำงานเป็นระบบที่ดี มีการแล่งงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบทำให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่กลุ่มและทีมงานรับผิดชอบ
- ช่วยให้มีการนำหลักมนุษย์สัมพันธ์มาใช้ในกลุ่มและทีมงาน เช่น การรู้เรา รู้เขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา งานของกลุ่มและทีมงานจะดำเนินไปด้วยดี
- ช่วยให้เกิดรู้รักสามัคคีระหว่างสมาชิกของกลุ่มและทีมงาน ในการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
- ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานกลุ่มและทีมงาน ตามมาตรฐานการทำงาน โดยอาศัยกลุ่มหรือสภาพแรงงานเป็นตัวแทนให้แก่พนักงาน
- ช่วยให้เกิดความมั่นคงในอาชีพเนื่องจากการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีมงาน จะก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นของมวลสมาชิกในกลุ่มหรือทีมงาน อันจะก่อให้เกิดความเกรงใจของคณะผู้บริหารที่มีต่อกลุ่มหรือทีมงาน

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.youtube.com/watch?v=pxbgh6_L8nE


สืบค้นวันที่ 20 ธันวาคม 2560


วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


การทำงานให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าองค์กรภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน ต่างก็ตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการหรือวิธีการทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กลยุทธ์ในการสร้างความสำเร็จในการทำงาน หรือเทคนิคการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนการทำงานอย่างไรให้มีความสุข นั่นแสดงว่าองค์กรทั้งหลายต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าองค์กรจะมีความเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศได้นั้น สิ่งสำคัญประการหนึ่งอยู่ที่ ผู้ปฏิบัติงานมีคุณภาพ และสามารถทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
          ในการทำงานไม่ว่าเราจะทำงานอะไรก็ตาม เราต้องมีความสุขในการทำงาน แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะบ่นว่าเหนื่อย แต่เมื่อเราเห็นผลสำเร็จของการทำงานแล้ว เราก็จะมองข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย หากเราต้องการให้การทำงานของเราเต็มไปด้วยความสุข เราต้องรู้สึกสนุกกับงาน เมื่อเราสนุกกับงานที่เราทำ ไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคในการทำงานที่หนักหนาสาหัสเพียงไหน เราก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าเราต้องทำงานอย่างไรจึงจะมีความสุข
          การทำงานไม่เพียงแต่ต้องมีความสุขเท่านั้น แต่ต้องเป็นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย จึงจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานดี ทำงานเก่ง จนเป็นที่พึงพอใจของเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน แต่การทำงานต้องทำอย่างไรจึงจะมีความสุขนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก เพราะคนทำงานแต่ละคนก็มีวิธีการในการทำงานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแนวคิดและการปรับใช้
          ดังนั้นผู้ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานจึงเป็นผู้ที่ฉลาดในการเรียนรู้ รู้ว่าการทำงานอย่างไรจึงจะบรรลุผลสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วและมีความผิดพลาดน้อยนั่นก็คือการลงทุนน้อยแต่ได้ผล ตอบแทนมากกว่าในเชิงเศรษฐศาสตร์อาจเน้นความคุ้มค่าหรือความคุ้มทุนในการปฏิบัติงานด้วย
ความหมายการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน
การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายดังนี้
          จอห์น ดี.มิลเล็ท (John D.Millet,1954) ได้กล่าวว่า ประสิทธิภาพ หมายถึง ผลการปฏิบัติงานที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ และได้รับผลกำไรจากการปฏิบัติงาน ซึ่งความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจในการบริการให้กับประชาชน โดยพิจารณาจาก เช่น การให้บริการอย่างเท่าเทียมกัน การให้บริการอย่างรวดเร็วทันเวลา การให้บริการอย่างเพียงพอ การให้บริการอย่างต่อเนื่อง และการให้บริการอย่างก้าวหน้า เป็นต้น
สมใจ ลักษณะ (2544) ได้กล่าวว่า การมีประสิทธิภาพในการทำงานของตัวบุคคล หมายถึงการทำงานให้เสร็จ โดยสูญเวลาและเสียพลังงานน้อยที่สุด ได้แก่การทำงานได้เร็ว และได้งานที่ดี บุคลากรที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นบุคลากรที่ตั้งใจในการปฏิบัติงานเต็มความสามารถ ใช้กลวิธี หรือเทคนิคการทำงานที่จะสร้างผลงานได้มาก เป็นผลงานที่มีคุณภาพเป็นที่น่าพอใจ โดยสิ้นเปลืองต้นทุน ค่าใช้จ่าย พลังงาน และเวลาน้อยที่สุด
          สิริวดี ชูเชิด (2556) ได้กล่าวว่า ประสิทธิภาพการทำงาน หมายถึง ความสามารถและทักษะในการกระทำของบุคคลของตนเอง หรือของผู้อื่นให้ดีขึ้น เจริญขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองและขององค์กร อันจะทำให้ตนเอง ผู้อื่นและองค์กร เกิดความพึงพอใจและสงบสุขในที่สุด
          สรุปว่า การพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน คือ การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม ความสามารถ และทักษะในการทำงานของตนเองหรือผู้อื่นให้ดีขึ้นเจริญขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ซึ่งจะทำให้ตนเองผู้อื่นและองค์กรเกิดความสุขในที่สุด โดยการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาองค์กรหรือการพัฒนาสังคม
ประโยชน์การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน
บุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ และเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ การบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นการที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน
ซึ่งประโยชน์ของการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน มีดังนี้
1. ช่วยทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการหรือวิธีการทำงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
 2. ช่วยเพิ่มกลยุทธ์ในการสร้างความสำเร็จในการทำงานและช่วยลดความซ้ำซ้อนของงาน
 3. ช่วยทำให้การทำงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ด้วยวิธีการที่รวดเร็ว
 4. ช่วยทำให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้า หรือพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ
 5. ทำให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ ลดความสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ทรัพยากร และกำลังคน
 6. องค์กรมีความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์ เทคนิค วิธีการ ด้วยวิธีการทำงานที่เหมาะสม ลดปัญหาอุปสรรคและมีความสุขในการทำงาน
 7. ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง เมื่อพัฒนาตนเองแล้วจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการพัฒนานั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่องานและองค์กรต่อไป
ประเภทของประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ เป็นเรื่องของการใช้ปัจจัยและกระบวนการในการดำเนินงาน โดยประสิทธิภาพอาจไม่แสดงเป็นค่าประสิทธิภาพเชิงตัวเลข แต่แสดงด้วยการบันทึกถึงลักษณะการใช้เงิน วัสดุ คน และเวลา ในการปฏิบัติงานอย่างคุ้มค่า ประหยัด ไม่มีการสูญเปล่าเกินความจำเป็น รวมถึงมีการใช้กลยุทธ์หรือเทคนิควิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม สามารถนำไปสู่การบังเกิดผลได้เร็วและมีคุณภาพ ประเภทของประสิทธิภาพ มี 2 ระดับคือ
1. ประสิทธิภาพของบุคคล หมายถึง การทำงานเสร็จโดยสูญเสียเวลาและพลังงานน้อยที่สุด ค่านิยมการทำงานที่ยึดกับสังคม เป็นการทำงานได้เร็วและได้งานดี
บุคคลที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน คือบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ ใช้กลวิธีหรือเทคนิคการทำงานที่จะสร้างผลงานได้มาก เป็นผลงานที่มีคุณภาพ เป็นที่น่าพอใจ โดยสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย พลังงานและเวลาน้อย เป็นบุคคลที่มีความสุขและพอใจในการทำงาน เป็นบุคคลที่มีความพอใจจะเพิ่มพูนคุณภาพและปริมาณของผลงาน คิดค้น ดัดแปลง วิธีการทำงานให้ได้ผลดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ
2. ประสิทธิภาพขององค์กร คือการที่องค์กรสามารถดำเนินงานต่าง ๆ ตามภารกิจหน้าที่ขององค์กร โดยใช้ทรัพยากร ปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงกำลังคนอย่างคุ้มค่า มีการสูญเปล่าน้อยที่สุด มีลักษณะการดำเนินงานไปสู่ผลตามวัตถุประสงค์ โดยประหยัดทั้งเวลา ทรัพยากร และกำลังคน
องค์กรมีความสามารถในการใช้ยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ เทคนิควิธีการ และเทคโนโลยี ทำให้เกิดวิธีการทำงานที่เหมาะสม มีความราบรื่นในการดำเนินงาน มีปัญหาอุปสรรค และความขัดแย้งน้อยที่สุด บุคลากรมีขวัญกำลังใจดี และมีความสุขในการทำงาน
องค์ประกอบของการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน
การพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน เป็นการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมความสามารถ และทักษะในการทำงานของตนเองหรือผู้อื่นให้ดีขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ซึ่งองค์ประกอบการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาองค์กร โดยผู้เขียนยกตัวอย่างแนวคิดของนักวิชาการมีดังนี้
ปีเตอร์สัน (Perterson) และ โพลแมน (Plowman) ได้กล่าวว่า องค์ประกอบของประสิทธิภาพการทำงาน ไว้ดังนี้คือ
1. คุณภาพของงาน (Quality) จะต้องมีคุณภาพสูงคือผู้ผลิตและผู้ใช้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและมีความพึงพอใจ
2. ปริมาณ (Quality) งานที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามความคาดหวังของหน่วยงาน
3. เวลา (Time) คือเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานต้องอยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง เหมาะสมกับหลักการและทันสมัย
4. ค่าใช้จ่าย (Cost) เป็นในการดำเนินการทั้งหมดจะต้องเหมาะสมกับงานและวิธีการ คือจะต้องลงทุนน้อยและได้ผลกำไรมากที่สุด

จิตติมา อัครธิติพงศ์ (2556) ได้กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทำงานในองค์กรเป็นหัวใจสำคัญในการนำองค์กรไปสู่การบรรลุผลความสำเร็จของการดำเนินงาน องค์กรจะมีผลผลิตเป็นที่น่าพอใจทั้งในด้านการผลิต การบริการ มีความเจริญก้าวหน้า และสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและบุคลากรองค์กร ซึ่งองค์ประกอบการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานที่สำคัญ มีดังนี้
 1. สิ่งแวดล้อมนอกองค์กร ได้แก่ ตลาดความต้องการของลูกค้า สภาพเศรษฐกิจของสังคมและประเทศ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ สภาพคล่องทางการเงินการธนาคาร กำลังการซื้อของลูกค้า ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
 2. สิ่งแวดล้อมในองค์กร ได้แก่ นโยบาย วิสัยทัศน์ และปรัชญาขององค์กรที่กำหนดทิศทางการดำเนินงาน วัฒนธรรมองค์กร และการจัดบรรยากาศการทำงานที่ส่งเสริมการทำงานของบุคลากร
 3. ปัจจัยขององค์กร ได้แก่ สภาพความพร้อมขององค์กรในด้านที่ดิน อาคารสถานที่ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ เงินทุน เทคโนโลยี และศักยภาพของบุคคล
 4. กระบวนการขององค์กร เป็นองค์ประกอบสำคัญลำดับสองต่อจากองค์ประกอบ ด้านบุคคล กระบวนการที่สำคัญขององค์กร คือ การดำเนินงานทั้งหมดที่จะทำให้เกิดการผลิต และการบริการที่น่าพอใจ ขอบข่ายของกระบวนการขององค์การที่เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ได้แก่ การจัดโครงสร้างงานขององค์กร การวางแผน การจัดองค์กรในด้านบุคลากร การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน การควบคุมคุณภาพการทำงาน และการพัฒนาองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

การจัดการงานอาชีพ

การจัดการ หมายถึง ( Management ) อะไร ?           “ การจัดการ ” เป็นคำที่นิยมใช้เกี่ยวกับการทำธุรกิจซึ่งต่างจากคำว่า “ การบริหาร ” ที่หมา...